
Sf : Annabelle ( The end )

‘สัญญาสิ…ว่าเราจะรักกันตลอด..ไป’
กริ๊ง!
เสียงนาฬิกาปลุกอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นทุก ๆ เช้า มันส่งเสียงแผดร้องลั่นอยู่ข้างหูของฉันจนในบางครั้งฉันก็รู้สึกรำคาญจนอยากจะทุบทิ้งเลยก็ตาม ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องพักที่คุ้นเคย ก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงและบิดขี้เกียจไปมาจนแอบได้ยินเสียงกระดูกตัวเองลั่นดังกรอบแกรบอยู่เหมือนกัน แหะๆ
เมื่อสติเริ่มกลับมา ฉันจึงค่อย ๆ เบนสายตาไปมองนาฬิกาเจ้าปัญหาก่อนที่จะเบิกตา โพลงขึ้นด้วยความตกใจ เจ็ดโมงเช้า!! บ้าเอ๊ย สายขนาดนี้จะไปทันกินอะไรกับใครเขาล่ะ ถ้าไม่รีบล่ะก็ ฉันโดนด่าเปิงแน่
คิดได้ดังนั้น ฉันก็รีบผลุนผลันหันไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราวตากก่อนจะวิ่งเข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำทันทีอย่างไม่รีรอ ตอนนี้ทุกคนกำลังทำอะไรอยู่นะ
ในระหว่างที่ฉันกำลังแต่งตัวดูเพ้าผมอยู่หน้ากระจกนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ก็อก ก็อก ก็อก
“แอนนาเบลล์! แอนนาเบลล์!”
“ค่า..มาแล้วค่ะแม่”
ฉันขานรับก่อนที่จะรีบสาวเท้าเดินไปเปิดประตูก่อนจะสบตากับหญิงสาวผู้เป็นดั่งนางฟ้าในดวงใจ เมื่อแม่เห็นหน้าของฉัน เธอก็ยิ้มอ่อน ๆ ก่อนที่จะสาวเท้าเข้ามาสวมกอดฉันด้วยความรักใคร่ ฉันกอดตอบแม่ก่อนจะคลี่ยิ้มให้เธอ รอยยิ้มของเธอนั้นมันทำให้หัวใจของฉันพองโตทุกครั้ง
“ไปเร็วค่ะ ทุกคนรอลูกอยู่ที่โต๊ะอาหาร..อย่าให้พวกเขารอนาน”
สิ้นประโยคที่แม่พูดนั้น รอยยิ้มที่เคยยิ้มกว้างของฉันก็หุบลงทันที เมื่อนึกถึง “พวกเขา” ที่แม่ว่ามันทำให้ใจของฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแทบทุกครั้ง
“ค่ะ”
ฉันขานรับก่อนจะสาวเท้าเดินตามหลังแม่ไปติด ๆ ภายในบ้าน ไม่สิ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์เลยก็ว่าได้เพราะมันช่างใหญ่โตอลังการมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าบ้านพักซะอีก
คฤหาสน์หลังนี้เป็นบ้านพักประจำตระกูล “เฮนเนอควินท์” ตระกูลของเราเป็นตระกูลเก่าแก่ที่คอยทำงานรับใช้ให้กับราชวงศ์มายาวนานหลายสิบปี
ครอบครัวของเรามีสมาชิกด้วยกันทั้งสิ้น 5 คน ได้แก่ พ่อ แม่ พี่ใหญ่ พี่รองและตัวของฉันเอง
พ่อของฉัน “อังเดร เฮนเนอควินท์” เกิดที่กรุงบอนน์ เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนักร้องประจำราชสำนักแห่งกรุงบอนน์และครูสอนดนตรี แน่นอนแหละว่าเมื่อพ่อแม่ทำอาชีพเกี่ยวกับดนตรีแล้วมีรึที่ลูกจะทำอาชีพอื่น พ่อของฉันถูกปู่เข่นเขี้ยวให้เรียนดนตรีมาตั้งแต่เด็กจนโต และในช่วงนั้นคีตกวีที่มีชื่อว่า “โมสาร์ท” ก็กำลังดังมาก ๆ เช่นกัน ปู่เลยต้องการที่จะปั้นพ่อให้กลายเป็นโมสาร์ทที่ 2 และเขาก็ทำสำเร็จ
พ่อของฉันถูกดึงตัวไปเป็นนักออร์แกนผู้ช่วยประจำราชสำนัก และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการเล่นออร์แกนมากเพียงใดนั้น เขาก็สามารถค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ จนตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงมาก ๆ คนหนึ่งของกรุงบอนน์
นี่เป็นสิ่งที่ฉันมองเห็นในตัวของเขา ภายในใจลึก ๆ นั้นเขาเป็นพ่อที่ดีมาก ๆ คนหนึ่งและเขาเองก็เป็นต้นแบบที่ฉันเอาเป็นแบบอย่าง ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาเป็นเหมือนกับไอดอลคนหนึ่งที่ฉันหลงใหลและอยากเป็นเหมือนที่เขาเป็น
แต่น่าเสียดายนะ เกิดมาในยุคที่ผู้ชายเป็นใหญ่ โอกาสของฉันที่จะได้ทำตามความฝันเท่ากับศูนย์
พวกเราสองคนแม่ลูกเดินเข้ามาภายในห้องอาหารอันหรูหราภายในบ้าน อาหารเช้าวันนี้จะเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างขนมปังปิ้ง ไส้กรอกและไข่ดาว ทันทีที่ฉันก้าวขาเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร สายตาทั้งสามคู่ก็พากันจดจ้องมาที่ฉันด้วยแววตาเรียบนิ่ง พ่อและพี่ชายทั้งสองของฉันมองมาที่ฉันเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง ฉันเข้าใจดีเพราะวันนี้ฉันตื่นสายเลยไม่ทันได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้พวกเขา ทำไงได้ล่ะ วันนี้อากาศมันน่านอนนี่นา
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
ฉันเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“อืม”
เสียงทุ้มมีอำนาจเอ่ยตอบฉันเรียบ ๆ ก่อนที่พวกเราทั้งห้าคนจะเริ่มลงมือทานอาหารเช้ากันอย่างเงียบ ๆ
เอาล่ะ ในระหว่างนี้ฉันก็จะมาแนะนำสมาชิกที่เหลือภายในครอบครัวของฉันแล้วกันนะ ขอเริ่มจากแม่นางฟ้าสุดสวยของเฮนเนอควินท์ เธอมีชื่อว่า “แฮนนา” เป็นหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลถึงกลางหลังที่มาพร้อมกับใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตสองชั้นสีฟ้าครามสดใสเหมือนกับน้ำทะเล จมูกโด่งเรียวได้รูปรับกับริมฝีปากเชอร์รี่
แน่นอนแหละว่าสาวสวยคนนี้แหละที่ได้กุมหัวใจอันแสนจะเย็นชาของอังเดร เฮนเนอควินท์ เธอเกิดที่เมือง เออร์เรนไบรน์สไตน์ ( Ehrenbreitstein ) เป็นลูกคนสุดท้องของโยฮันน์และแอนนา นั่นก็คือตากับยายของฉันเอง
ในครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันจำได้ว่าแม่ของฉันเคยเล่าให้ฉันฟัง ตอนที่ทั้งสองพบเจอกันนั้น แม่ของฉันคิดว่าความสันพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไปด้วยกันไม่รอด เพราะพ่อค่อนข้างที่จะเป็นคนเคร่งเครียด นิ่งขรึม จนในบางครั้งแม่ก็อ่านไม่ออกว่าพ่อคิดอะไรอยู่หรือต้องการทำสิ่งใด แม้กระทั่งตอนที่คบกันก็ไม่มีคำว่ารักออกจากปากของผู้ชายคนนี้เลยสักนิด มันเลยทำให้แม่ไม่มั่นใจว่าถ้าฝากชีวิตไว้กับพ่อแล้วมันจะดีขึ้น
แต่แม่บอกว่าเห็นพ่อเงียบ ๆ แบบนั้น ในตอนที่พ่อขอแม่แต่งงานก็ทำเอาแม่เขินไปหลายม้วนตลบเหมือนกันนะ แม่บอกว่าพ่อชวนแม่ไปปิกนิกที่ริมแม่น้ำไรน์ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่ชอบมากที่สุด พวกเขาไปนั่งชมวิวของทะเลสาบกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลังจากนั้นพ่อก็ขอแม่แต่งงานพร้อมกับดอกคาร์เนชั่นสีชมพูอ่อนและลิลลี่สีขาวบริสุทธิ์นั่นแปลว่าเป็นความรักบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความสเน่หาและหลงใหลในตัวของหญิงสาว ประโยคขอแต่งงานที่แม่เล่าให้ฟังมันยังตราตรึงอยู่ในใจของฉันและมันพาลทำให้ฉันเขินแทนแม่ตลอด
‘ เธอเคยบอกฉันว่า..เธอชอบเวลาที่ฉันเล่นเปียโนกล่อมเธอใช่มั้ย เสียงเปียโนของฉันมันทำให้เธอนอนหลับสบาย จำได้รึเปล่า? เพราะฉะนั้นในตอนนี้ฉันตัดสินใจแล้วล่ะว่า…จากนี้ไปฉันจะเล่นเปียโนกล่อมเธอทั้งชีวิต ช่วยหลับตาลงแล้วฟังเสียงของฉันไปยันแก่เฒ่าด้วยกันนะ’
เห็นขรึม ๆ นี่ก็โรแมนติกเป็นเหมือนกันแฮะพ่อเรา คิดได้แบบนั้นฉันก็แอบอมยิ้มและหัวเราะคิกคัก (ภายในใจ) อยู่คนเดียว แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนจะหูดีไปหน่อย
“ ไม่มีใครสอนเหรอ..ว่าเวลาทานข้าว ห้ามขำ”
สิ้นเสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันเยื้องซ้ายมือทำให้ใจฉันดิ่งวูบ “ อเล็กซานเดร เฮนเนอควินท์” หรือก็คือพี่ชายคนโตเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่แผ่วเบาและเนิบช้าแต่ก็แอบซ่อนความขุ่นมัวอย่างมากจนฉันสะอึก
อเล็กซานเดร เฮนเนอควินท์เป็นลูกชายคนโตของตระกูล เขาเป็นหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาและร่างกายกำยำสมกับชายชาตรี พร้อมด้วยใบหน้าที่หล่อได้รูปถอดแบบผู้เป็นพ่อ ดวงตาคมกริบสีดำสนิท คิ้วโก่งเรียงเส้นสวย จมูกโด่งเป็นสันเรียวรับกับปากกระจับสีพีช ทุก ๆ อย่างที่เป็นองค์ประกอบของผู้ชายคนนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
แต่เสียอย่างเดียว…ปาก
“ หึ ไร้มารยาทชะมัด”
ประโยคจิกกัดยังคงพ่นออกมาจากปากของอเล็กซานเดรไม่หยุด และถึงแม้ว่าฉันอยากจะโต้ตอบกลับเจ้าพี่ชายตัวดีมากแค่ไหนก็ตามแต่ฉันคิดว่าการเงียบมันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะตั้งแต่ฉันโตมาในบ้านหลังนี้ฉันก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ออกเสียงอะไรเลย ถึงแม้จะต้องโดนแขวะ โดนกัด โดนจิกขนาดไหน ฉันก็ไม่มีสิทธิ์โต้ตอบอะไรกลับไปถึงแม้ในใจของฉันจะเรียกร้องให้ฉันสู้มากแค่ไหนก็ตาม
บอกแล้วไง เป็นผู้หญิงน่ะ..มันลำบาก
“ พอสักที รีบ ๆ กินเข้าไปซะ”
เสียงทุ้มมีอำนาจเอ่ยพูดตัดบทท่ามกลางบรรยากาศเรียบตึงที่เกิดจากสงครามเย็นระหว่างฉันกับอเล็ก ดวงตาเรียวของพี่ชายคนโตหันไปมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์และไม่วายที่จะหันมามองเขม่นใส่ฉันอีกครั้งก่อนที่เขาจะหันกลับไปก้มหน้าก้มตาทานมื้อเช้าอีกครั้ง
เหอะ มองจิกขนาดนี้ ชาติที่แล้วเกิดเป็นไก่เหรอ
โอเคทุกคน มาว่ากันต่อนะ สำหรับเรื่องของคุณชายอเล็กซานเดรจอมปากร้าย (หมา) ถ้าว่าในเรื่องของดนตรีก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนโปรดของพ่ออังเดรคนหนึ่งที่พ่อรักมากและเข่นเขี้ยวให้เรียนดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เล่นไวโอลิน ออร์แกน หรือจะเปียโนก็ตาม พ่อให้พี่อเล็กเรียนทุกอย่างในแบบที่เขาต้องการ และด้วยความเฉลียวฉลาดและการเรียนรู้ไวของเขานั้นทำให้เขาสอบเข้าโรงเรียนดนตรีนานาชาติที่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศได้อย่างง่ายดายและเริ่มมีชื่อเสียงจากการออกไปเล่นคอนเสิร์ตตามที่สาธารณะ ทำให้บรรดาพ่อแม่ของสาว ๆ ทั้งหลายมาติดต่อและพยายามทอดสะพานให้กับลูกสาวของตัวเองมาหลายต่อหลายคนอยู่เป็นประจำ แต่อีตานี้ก็ไม่ยักจะสนใจ วัน ๆ ถ้าไม่หาเรื่องแกล้งฉัน หาเรื่องทะเลาะกับฉันหรือซ้อมดนตรีก็ไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ แต่ถ้าไม่ติดว่าปากร้ายและชอบแขวะฉันเป็นประจำล่ะก็นะ เขาถือว่าเป็นพี่ชายที่ดีมาก ๆ คนหนึ่งเลยเชียว งั้นให้อภัยห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วกัน
“ ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสองคนไปรอฉันที่ห้องนั่งเล่น..ฉันมีแขกคนสำคัญจะแนะนำให้รู้จั-”
“ ไม่ล่ะครับ ผมมีนัดกับลูกสาวคุณแมกโนเลีย”
ยังไม่ทันที่อังเดรจะพูดจบ ชายหนุ่มผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันซึ่งก็คือ “เบนจามิน เฮนเนอควินท์” พี่ชายคนกลางของตระกูลผู้ที่มีใบหน้าหล่อเหลาและสวยหวานในคราเดียวกันเอ่ยพูดแทรกขึ้นมาทันที ดวงตาเรียวรีของพ่อหันขวับไปมองลูกชายคนรองทันทีด้วยแววตาเรียนนิ่งแต่ดุดันจนฉันแอบขนลุกซู่
ถ้าเปรียบอเล็กซานเดรเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอังเดร เบนจามินก็เปรียบเสมือนลูกรักลูกชังของอังเดรเช่นเดียวกัน เบนจามินเป็นพี่ชายคนกลางที่เพรียบพร้อมมาด้วยทั้งหน้าตาและรูปร่างที่เรียกว่าสามารถเป็นนายแบบได้อย่างสบาย ๆ เลย และด้วยคารมและเสน่ห์ของเขาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้เบนจามินเป็นผู้ชายที่เนื้อหอมที่สุดในบ้าน เพราะเขาเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและรู้จักใช้คำพูดวาทศิลป์กับคนอื่น ๆ
ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เป็นพวกที่ชอบเกี้ยวพาราสีคนไปทั่วนั่นแหละนะ
แต่เห็นเป็นคนไม่เอาไหนแบบนี้ เรื่องดนตรีไม่เป็นสองรองใครเลยเชียว
เบนจามินมีพรสวรรค์ในด้านของศิลปะมาก ๆคนหนึ่ง และเป็นคนที่เรียนรู้เร็วมากพอ ๆ กับอเล็ก แต่ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยนั่นก็คือเรื่องของความอดทนและความหลงใหล ( Passion ) ที่มีต่อดนตรี อเล็กซานเดรเป็นพวกหูเบา เด็กเรียนที่เชื่อฟังพ่อมากๆคนหนึ่งและคลั่งคลาสสิก ชอบฟังดนตรีชั้นสูง เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นอย่างที่โมสาร์ทหรือบีโธเฟนเป็นเลยมีความอดทนที่จะฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงเพื่อจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นนักดนตรีหลักประจำราชวงศ์เหมือนอย่างที่อังเดรเคยทำสำเร็จมาก่อน แต่กลับกันนั้น เบนจามินจะเป็นคนที่หลงใหลกับในเรื่องของศาสตร์การแพทย์มากกว่า แต่ที่เขาต้องสอบเข้าโรงเรียนดนตรีนั้นก็เพราะว่าไม่อยากขัดใจอังเดร แต่เหมือนช่วงนี้พี่รองจะหัวดื้อมากไปหน่อย เลยทำให้ทั้งสองทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง
บางครั้งฉันกับแม่ก็เหนื่อยที่จะห้ามแล้วเหมือนกัน
“ นัดอะไรนั่นมันสำคัญกว่าการเรียนของแกรึไงเบนจามิน”
“ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมละอายใจเกินกว่าที่จะผิดสัญญา...ขอตัวนะครับ”
สิ้นเสียงของเบนจามิน พี่รองก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และสาวเท้าเดินก้าวขาออกไปทันที ซึ่งการทำแบบนี้มันมีแต่จะทำให้พ่อโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
“ไอ้เบนจามิน! ไอ้ลูกไม่รักดี! แกกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
เสียงทุ้มด่ากราดตามไล่หลังของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายในสายเลือดของตัวเอง
ปึง!
มือขาว ๆ ของอังเดรทุบลงบนโต๊ะอาหารอย่างรุนแรง ตามด้วยดวงตาคมกริบที่แข็งกร้าวขึ้น อังเดรลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินสาวเท้าปึงปังออกไปทันที ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับแม่ เธอพยักหน้าและคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินตามหลังอังเดรไปทันทีทำให้ในตอนนี้ภายในห้องอาหารเหลือเพียงแค่ฉันกับอเล็กซานเดรสองคน
“ เป็นเธอนี่ดีเนอะ ไม่ต้องพยายามอะไร..แม่ก็รัก”
ฉันที่กำลังก้มหน้าก้มกินอาหารเช้าต่อให้หมดก็ชะงักไปกับคำพูดของอเล็ก ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองอเล็กซานเดรด้วยสีหน้างุนงง เขามองหน้าฉันนิ่ง ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอาหาร แววตาและน้ำเสียงของอเล็กซานเดรมันดูตัดพ้อและน้อยใจยังไงชอบกลแฮะ
ช่างมันละกัน ฉันคงคิดมากเกินไป เอาล่ะ มาดูกันว่าวันนี้ซินเดอเรลล่าตัวน้อยอันแสนจะตะมุตะมิคนนี้จะมีภารกิจอะไรรอเราให้จัดการอยู่บ้างนะ
อย่างแรกก็บรรดาจานชามช้อนส้อมที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะนี่ก่อนละกัน
ฉันลงมือเก็บเศษอาหารและจานชามให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะรวบไว้ในอ้อมแขนและเดินตรงเข้าครัวเพื่อไปวางไว้ในซิงค์ล้างจาน และเนื่องจากชุดที่ฉันใส่มันเป็นเดรสคอบัวแขนยาวสีครีม ฉันจึงต้องถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาพับไว้ที่ใต้ข้อศอกก่อนที่จะลงมือจัดการจานชามตรงหน้าทันที
ในระหว่างนี้ เหลือฉันสินะที่ยังไม่ได้แนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จัก สวัสดีค่ะ ฉันชื่อแอนนาเบลล์ เฮนเนอควินท์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูล ถ้าพูดถึงนิสัยของฉันน่ะเหรอ ขอฉันตอบง่าย ๆ ได้ป่าวว่าดิชั้นเป็นไบโพลาร์ค่ะ ฮ่า ๆๆๆ
ล้อเล่นนะ ฉันก็เป็นแค่หญิงสาวอายุสิบหกปีธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ต้องการความรัก ความเอาใจใส่จากคนอื่น ๆ เหมือนกับพวกคุณนั่นแหละค่ะ วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากทำงานบ้าน คอยเก็บกวาดเช็ดถูสิ่งสกปรก ทำทุกอย่างที่แม่บ้านทำ เกิดมาเป็นผู้หญิงมันก็ไม่พ้นงานพวกนี้แหละนะ ถึงแม้ฉันจะปราถนาที่จะทำในสิ่งที่อยากทำมากก็ตาม
ในเวลาที่ฉันว่าง ฉันชอบอ่านหนังสือและอีกหนึ่งอย่างที่ฉันรักและหลงใหลมากที่สุดแต่ไม่สามารถทำได้นั่นก็คือการเล่นดนตรี
ฉันหลงใหลในเสียงของเปียโนมาก มันเริ่มต้นมาจากตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้งอแงและร้องไห้เก่งพอสมควร และอาจจะเพราะเสียงของฉันมันอาจจะทำให้แม่รำคาญหรืออย่างไรก็ไม่รู้ แม่อุ้มฉันไปนั่งบนตักก่อนที่แม่จะเล่นเปียโนให้ฉันฟัง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันได้แต่นั่งตาแป๋วมองแม่อยู่แบบนั้น เสียงเปียโนลื่นหูที่ดังคลอกล่อมให้ฉันสงบได้อย่างน่าประหลาดใจ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันเริ่มสนใจดนตรีขึ้นมาอย่างจริงจัง
เนื่องจากครอบครัวของตระกูลเราเป็นครอบครัวนักดนตรี และในยุคของเราก็จะมีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันเกลียดแสนเกลียดนั่นก็คือค่านิยมของผู้ชายเป็นใหญ่ อังเดรและแฮนนามีลูกชายสองคนนั่นก็คืออเล็กซานเดรและเบนจามินซึ่งเป็นลูกชาย นั่นทำให้พวกพี่ทั้งสองมักได้รับโอกาสมากกว่าฉันที่เป็นลูกสาวคนสุดท้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน การทำงาน งานอดิเรก สิทธิพิเศษที่มักจะได้รับมากกว่าผู้หญิง
นี่เป็นสิ่งที่ฉันโดนมาและมักจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาชีวิตของตัวเองเกือบทุกครั้ง ถึงแม้ว่าพ่อจะรักแม่มากแค่ไหนก็ตามแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะรักฉันเหมือนที่รักแม่ของฉัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแววตาที่เขามองมาที่ฉันมันไม่เคยมีคำว่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแต่แววตาที่แสนเย็นชา คำพูดที่คอยกัดจิกตอนที่ฉันทำผิดหรือไปทำอะไรที่มันขวางหูขวางตาเขา บางครั้งฉันก็รู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกันนะว่าฉันน่ะใช่ลูกของเขาจริง ๆ รึเปล่า หรือฉันเป็นลูกกำพร้ากันแน่
ช่างมันแล้วกัน คิดไปก็เท่านั้น มีแต่จะทำให้รู้สึกไม่ดีเปล่า ๆ ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดแย่ ๆ ให้ออกไปจากซีรีบรัมสมอง สายตาก็มองลอดผ่านไปนอกกระจก บรรยากาศเขียวขจีของสวนดอกไม้ภายนอกชวนทำให้ใจฉันชุ่มฉ่ำ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตั้งสติให้พร้อมก่อนที่จะหันหลังเตรียมเดินออกไปจากห้องครัว เอาล่ะ เรามาลุยภารกิจต่อไปกันดีกว่าซึ่งนั่นก็คือ..!
โฮ่ง!
เสียงเห่าอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นจากภายนอกเรียกความสนใจจากฉันมากพอที่ฉันจะหันหลังกลับไปสอดส่องนอกหน้าต่างก็พบกับเจ้าก้อนขนสีขาวนวลสนิทที่กำลังกระดิกหางดุ๊กดิ๊กมองมาที่ฉันก่อนที่มันจะสาวขาหน้าทั้งสองเดินเข้ามาและกระโดดก่ายขาหน้าพาดไว้กับขอบหน้าต่าง
ฉันคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดูให้กับ “แม็กซ์” เจ้าหมาน้อยสายพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ก่อนที่สองมือจะเอื้อมไปเปิดบานหน้าต่างให้กว้างออกและยื่นมือแตะเข้าไปที่ใบหน้าของเจ้าแม็กซ์และลูบไล้ไปตามเส้นขนที่เรียงตัวทั่วกรอบหน้าด้วยความหมั่นเขี้ยว
ว่าแล้วก็ขอแวะไปฟัดเจ้าก้อนขนนี่ซักหน่อยดีกว่า
ฉันหมุนตัวรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องครัวและมุ่งหน้าตรงไปยังประตูหลังบ้านที่ปิดสนิท ฉันผลักประตูไม้สีน้ำตาลบานใหญ่ออกก่อนจะสับขาวิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าแม็กซ์ทันที และเมื่อมันเห็นฉัน เจ้าก้อนขนก็วิ่งตรงเข้ามากระโจนโถมตัวเข้าใส่ฉันอย่างแรงจนฉันเกือบตั้งตัวไม่ทัน มันกระดิกหางอย่างถี่เร็ว ลิ้นสีแดงสดของมันก็แลบออกมาไล้เลียตามกรอบหน้าทำเอาฉันต้องหักหน้าหลบลิ้นเล็ก ๆ นั่นจนหัวหมุนไปหมด
ขอตั้งตัวก่อนได้มั้ยล่ะไอ้ตูดเอ๊ย!
.
.
ในระหว่างที่ร่างบางของหญิงสาวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้าหมาน้อยอย่างเมามันส์ ภาพรอยยิ้มของเธอที่กำลังหัวเราะกับเจ้าก้อนขนนั้นได้ถูกจับตามองโดยใครบางคน ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวสีน้ำตาลเข้มมองมาที่หญิงสาวด้วยแววตาเรียบนิ่งราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในมนตร์สะกด
“ดิน..โอดิน!” อังเดรขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและไม่มีทีท่าว่าจะฟังในสิ่งที่ตนพูด
“คร..ครับ!” ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงก่อนจะหันกลับมาสนใจอังเดรผู้เป็นนายจ้างอีกครั้ง
“เข้าใจที่ฉันบอกรึเปล่า?” เสียงทุ้มเข้มมีอำนาจถามซ้ำอีกครั้ง
“เข้าใจครับ” ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามหลังเจ้าบ้านไปทันที
“นี่คือห้องพักของเธอ”
กริ๊ก แอ๊ดดด
มือขาว ๆ ผลักบานประตูไม้ซุงออกกว้างเผยให้เห็นห้องนอนสไตล์ตะวันตกที่ถูกตกแต่งด้วยสีแนวเอิร์ธโทน ภายในห้องนอนมีเฟอร์นิเจอร์ที่คอยให้ความสะดวกสบายอยู่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนขนาดคิงไซต์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในห้องนอนขนาบข้างด้วยโต๊ะไม้ทั้งสองข้าง ห้องน้ำภายในตัวห้องและตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สีขาวสบายตา
บอกตามตรงเลยว่าบ้านหลังนี้ ไม่สิ คฤหาสน์หลังนี้มีสิ่งอำนวยสะดวกครบครันจนคนนอกอย่างเขานึกอิจฉาอยู่นิด ๆ ทายาทตระกูลเฮนเนอควินท์นี่โชคดีซะจริง
“ทำตัวตามสบายนะ อาหารเย็นจะเริ่มเวลาสี่โมงเย็น..ระหว่างนี้เธอก็พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วกันนะ”
เสียงทุ้มมีอำนาจของชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าบ้านเอ่ยบอกกับร่างสูงก่อนที่ประตูไม้จะปิดลงเหลือไว้แต่เพียงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งราว ๆ ร้อยแปดสิบเซนติเมตรยืนเคว้งอยู่ภายในห้อง ผมสีดำยาวประบ่าระต้นคอดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยประกอบกับใบหน้ารูปไข่ที่ขึ้นสีอมชมพูเล็กน้อย เหงื่อกาฬที่ไหลหยดตามกรอบหน้านั้นชวนทำให้ใบหน้าของเขามีเสน่ห์ขึ้นมากเป็นกอง ประกอบกับด้วยเครื่องหน้าที่ลงตัวอย่างดีทำให้ใบหน้าของร่างสูงถูกจัดว่าเป็นคนที่เบ้าหน้าฟ้าประทานเลยก็ได้
มือหนายกขึ้นปลดกระดุมที่คอเสื้อก่อนจะแหวกออกกว้างและกระพือไปมาเพื่อระบายความร้อนก่อนที่ขาเรียวจะสาวเท้าเดินไปที่หน้าต่าง ดวงตาคมกริบที่กลับมาเรียบสนิทเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ภายในใจก็หวนนึกถึงรอยยิ้มของหญิงสาวที่ทำให้ใจของเขาเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รอยยิ้มหวาน ๆ ของเธอยังติดตราตรึงใจเขามาจนถึงตอนนี้
เธอเป็นใครกันนะ?
นี่คือคำถามสุดท้ายที่เกิดขึ้นภายในหัวก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไป…
ก็อก ก็อก ก็อก
เสียงเคาะบานประตูเรียกให้ร่างสูงที่กำลังนอนพักอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนที่โอดินจะเดินไปเปิดประตูออกกว้างเผยให้เห็นสาวใช้วัยกลางคนประจำตระกูลที่ยืนอยู่หน้าประตู
“อาหารมื้อเย็นเตรียมพร้อมแล้วค่ะ”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม มุมปากของเธอคลี่ยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะก้มโค้งคำนับเขาและเดินจากไป
เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องรีบไปเตรียมตัวแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงแบบนี้กับสภาพใบหน้าที่มีทั้งคราบน้ำลายและขี้ตาพวกนี้จะออกไปให้พวกเขาเห็นได้ยังไง เขาเป็นถึงอาจารย์สอนดนตรีคนใหม่ประจำเฮนนาควินท์เชียวนะ อย่าให้เขารู้เชียวว่าไอ้โอดินคนนี้ซกมกที่หนึ่ง
ว่าแล้วขาเรียวก็รีบสาวเท้ากุลีกุจรไปทำธุระส่วนตัวทันที จากชายหนุ่มที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงกลายมาเป็นชายหนุ่มมาดเนี๊ยบคนเดิม มือหนาจัดคอเสื้อให้เข้ารูปพร้อมกับเช็คความเรียบร้อยของตนอยู่หน้ากระจกสักพักก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องพักของตน
เอาล่ะ ว่าแต่ห้องอาหารอยู่ที่ไหนกันล่ะ?
มองซ้ายมองขวา บ้านกว้างมโหฬารขนาดนี้ เดินเป็นวันก็คงหาไม่เจอหรอก มีแต่จะหลงทางมากกว่าเดิม ทางเดินก็อย่างกับเขาวงกต ยืนงงอยู่สักพักใหญ่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางที่คุณอังเดรพาเขามา ในระหว่างทางเขาก็เลือกที่จะสำรวจบรรยากาศรอบ ๆ บ้านไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในยุคที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูขนาดนี้ก็ไม่แปลกที่จะมีฐานะร่ำรวย แต่ก็ไม่คิดว่าตระกูลนี้จะร่ำรวยถึงเพียงนี้ อาณาเขตบ้านกว้างใหญ่ไพศาล สวนดอกไม้และสระน้ำขนาดใหญ่พร้อมกับคอกสัตว์ตั้งตระหง่านอยู่หลังบ้าน ภายในบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยทางเดินลึกลับที่เต็มไปด้วยตรอกซอยเป็นทางเดินเข้าไปในห้องต่าง ๆ
ครอบครัวนี้รวยเกินไปแล้ว
พลั่ก!
“ อ๊ะ / อ่..!”
ระหว่างที่กำลังเดินชมบ้านอย่างเพลิดเพลิน ร่างของใครบางคนก็เดินสวนออกมาจากตรอกขวาภายในบ้านทำให้ร่างของพวกเขาปะทะกันอย่างแรง ถึงแม้จะไม่ได้แรงจนโอดินทรงตัวไม่อยู่แต่ด้วยเพศสภาพที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิงทำให้เธอล้มลงไปกองกับพื้น กองผ้ากองโตที่ร่างบางขนออกมาจากห้องของตนหล่นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นพร้อมกับเธอที่นั่งแอ้งแม้งอย่างหมดสภาพและชุดผ้านวมที่คลุมปิดหน้าของเธอเอาไว้
แอนนาเบลล์สะบัดหัวอย่างแรง มือเรียวสวยหยิบผ้าคลุมที่ปิดส่วนหัวเอาไว้ออกจนผมสีดำยาวเรียบยุ่งเหยิง ก่อนที่จะทำหน้าแหยงเมื่อพบว่าไม่ได้เพียงแค่ผ้าคลุมแต่มันรวมถึงชั้นในตัวจิ๋วด้วย แน่นอนว่าพฤติกรรมเปิ่น ๆ ที่แสนจะน่ารักน่าชังของหญิงสาวนั้นก็อยู่ในสายตาของชายหนุ่มทั้งหมด ชายหนุ่มหลุดยิ้มขำออกมาเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเสียงขำของคนตรงหน้าจะทำให้เธอรู้สึกตัว ร่างบางสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมามองด้วยผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ โอดินยืนมองอยู่สักพักก่อนที่จะยื่นมือให้หญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับอมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ ขอบคุณค่ะ” ร่างบางกล่าวขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปจับมือหนาเอาไว้ก่อนที่จะพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้น ในระหว่างนั้นเรียวตาคมกริบของร่างสูงก็ได้ทำการมองสำรวจไปที่ใบหน้าหวานของหญิงสาวตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักอยู่ภายในอก โอดินอึกอัดไม่รู้จะต่อบทสนทนาอะไรแล้วจึงได้แต่ยืนยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา ในด้านของแอนนาเบลเมื่อเห็นว่าร่างสูงตรงหน้าไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไรกับตนจึงก้มหัวโค้งให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับตระกร้าผ้ากองโตทิ้งไว้เพียงแค่ร่างสูงที่ยืนค้างอยู่ โอดินสะบัดหัวก่อนที่จะหันหลังก้าวเดินไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารของตระกูล
ขาเรียวก้าวเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ที่มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ใจกลางห้องพร้อมกับอาหารมากหน้าหลายตาหลากหลายเมนูที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ด้านเจ้าของบ้านสุดโหดอย่างคุณอังเดรเมื่อเห็นว่าคุณครูสอนดนตรีคนใหม่ที่ได้ว่าจ้างนั้นมาถึงแล้วจึงเอ่ยทักร่างสูงด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น
“พักผ่อนสบายมั้ยครับคุณโอดิน”
ทันทีที่ได้เดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดวางเอาไว้ของตนภายในห้องอาหาร อังเดรก็เอ่ยทักขึ้นด้วยรอยยิ้มทันที
“สบายดีครับ ขอบคุณมาก ๆ ที่ให้การสนับสนุนกระผมนะครับท่านอังเดร”
“ทำตัวตามสบายเถอะ ถือซะว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของเธอนะ” เสียงหวานของแฮนนาผู้เป็นภรรยาเอ่ยตอบก่อนจะอมยิ้มหวานให้โอดิน ด้านร่างสูงจึงหันไปมองหญิงสาวด้วยใบหน้าอมยิ้มก่อนจะโค้งหัวรับคำให้เล็กน้อย
“แต่ก่อนจะเริ่มทานอาหารค่ำนั้น ฉันขอแนะนำเจ้าลูกชายตัวดีของฉันที่จะมาเป็นลูกศิษย์คนใหม่ให้เธอรู้จักแล้วกันนะ…คนแรกเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวเราเอง อเล็กซานเดร”
อังเดรเอ่ยบอกก่อนจะผายมือไปทางอเล็กซานเดรที่นั่งอยู่ทางขวามือของตน ส่วนในด้านของเจ้าของชื่อนั้นก็ขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กับโอดิน ร่างสูงอมยิ้มเมื่อเห็นว่านักเรียนของตนนั้นไม่ได้ดูหัวแข็งและดื้อดึงเกินไปจนทำให้เขารู้สึกเหนื่อย
“ส่วนนี่..เบนจามิน ลูกชายคนรองของฉันเอง ถึงจะดูดื้อหน่อยแต่มั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ทำให้เธอเหนื่อยแน่นอน”
อังเดรผายมือไปทางร่างสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อเล็กซานเดรที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมเรียวตวัดสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีไปยังอีกฝั่ง คนโตไม่เท่าไหร่ แต่คนรองดูท่าแล้วคงต้องออกแรงนิดนึงกระมัง
“ส่วนคนเล็กนั้น..”
“ขอโทษที่ให้รอค่ะ!”
สิ้นเสียงตะโกนของหญิงสาว ทั้งสี่ชีวิตที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารก็หันมามองร่างบางที่เดินพรวดพราดเข้ามาทางเดียวกัน อังเดรมองมายังร่างบางด้วยแววตาเรียบนิ่งเช่นเดิมแต่ตอนนี้นั้นมันแอบซ่อนความคุกรุ่นด้วยความโกรธและไม่พอใจเข้ามาแทนที่ ด้านแอนนาเบลที่ชำเลืองมองมายังผู้เป็นพ่อแล้วก็แอบขนลุกซู่ซ่าก่อนจะรีบเดินตัวลีบเข้ามานั่งที่ข้าง ๆ เบนจามินทันที
“เธอชื่อแอนนาเบล เป็นลูกสาวคนสุดท้องของฉันเอง”
สิ้นเสียงของอังเดร ร่างสูงก็พยักหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มดีใจเมื่อได้รับรู้ชื่อของหญิงสาว ด้านแอนนาเบลเองก็อมยิ้มน้อย ๆ ให้ชายหนุ่มที่พึ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี้กลับไปก่อนจะหันไปฟังอังเดรพูดต่อ
“ทั้งสองคน..เขาชื่อโอดิน จะมาเป็นคุณครูสอนเปียโนคนใหม่ของพวกแก”
“แล้วครูไฮเดินล่ะครับ?”
“ท่านไฮเดนมีธุระต่างเมืองหลายวัน และเกรงว่าน่าจะกลับมาไม่ทันติวลูกเพื่อเข้าแข่งขันงานเทศกาลโรงเรียนประจำปีนี้ ท่านเลยให้ครูโอดินมาสอนเราแทนในระหว่างที่ท่านไปทำธุระ อย่าดื้ออย่าซนกับเขาล่ะเข้าใจมั้ย?”
สิ้นเสียง ลูกชายทั้งสองก็ได้แต่พยักหน้าเนือย ๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นทานอาหารมื้อค่ำกันเงียบ ๆ ภายในห้องอาหาร ร่างสูงหั่นชิ้นเนื้อสเต็กอย่างดีก่อนจะจิ้มเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ้ยไปพราง ๆ พร้อมกับลอบสังเกตการณ์หญิงสาวเป็นระยะ ๆ อย่างเงียบ ๆ ใบหน้าสวยหวานที่เคี้ยวแก้มตุ่ยนั้นมันช่างน่ารักน่าชังจนอยากบีบแก้มขาว ๆ นั่นซะจริง
นี่เราคิดบ้าอะไรอยู่กันนะ..
ว่าแล้วก็ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับความคิดบ้า ๆ ของตัวเอง อาหารมื้อค่ำของวันนี้ถูกเหล่ามนุษย์จัดการจนหมดไม่เหลือชิ้นดี รสชาติสเต๊กชิ้นดีถูกเขาจัดการจนหมดไม่เหลือแม้แต่กระดูกและน้ำซอส ถือว่าอาหารมื้อแรกเป็นที่น่าพึงพอใจมากสำหรับเขาเลยทีเดียว บางทีการมาสอนตามบ้านแบบนี้มันก็ไม่ได้มากแหละนะ
"พ่อคะ หนูอยากเรียนดนตรี" แอนนาเบลพูดขึ้นกลางวงสนทนาที่เงียบฉี่มานานหลายนาที ทุกสายตาหันมาจับจ้องไปยังหญิงสาวที่อายุน้อยที่สุดของบ้านสายตาเดียวกันด้วยแววตาตกตะลึง
แน่นอนว่าต้องตกใจเพราะในสมัยนี้มีผู้หญิงที่ไหนเขาเล่นดนตรีกันบ้างล่ะ มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น จะไปมีมันสมองและพละกำลังที่จะเล่นดนตรีเหมือนผู้ชายได้ยังไงกัน ช่างโง่เง่าเบาปัญญานัก
อังเดรพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเงยหน้ามองลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาด้วยแววตาที่คาดเดาไม่ออก
" ใจกล้าดีนะ แต่คิดเรอะว่าฉันจะให้แกเรียน..คนอย่างแกน่ะมันก็เป็นได้แค่แม่บ้านแม่เรือนเตรียมคลอดหลานให้ฉันก็พอแล้ว อีกอย่างนะ..แกน่ะไม่ได้มีค่ามากพอที่จะเล่นดนตรีได้หรอก เพราะดนตรีน่ะมันเหมาะกับคนชั้นสูง แต่แกน่ะชั้นต่ำ " เอ่ยจบก็ลุกเดินออกไปทันทีทิ้งให้หญิงสาวน้ำตาคลอเบ้าอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องอาหาร ด้านคนอื่น ๆ ก็พากันค่อย ๆ ลุกขึ้นตามออกไปเหลือเพียงแค่โอดินและแอนนาเบลที่อยู่ภายในห้อง ร่างสูงแอบมองเป็นระยะ ๆ ในใจก็นึกอยากจะปลอบร่างบางอยู่เหมือนกันแต่ก็ต้องตัดใจเดินออกมาจากห้องอาหารและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องพักของเขาทันที
ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงัดพร้อมกับภาพใบหนัาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหญิงสาวที่ติดตราตรึงใจของเขาไปจนถึงเช้า
ทั้ง ๆ ที่เคยเจอกันครั้งแรกแท้ ๆ แต่ทำไมเธอถึงมีอิทธิพลกับฉันขนาดนี้นะ…แอนนาเบล
.
.
หลังจากวันนั้น เวลาก็หมุนเวียนผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ความรู้สึกส่วนตัวเหมือนพึ่งผ่านไปเพียงแค่สามสี่วันเท่านั้น แต่ความจริงแล้วมันผ่านไปเป็นเวลาสามเดือนด้วยกันแล้วที่อยู่ด้วยกันมากับครอบครัวนี้ โดยรวมตามความรู้สึกของเขานั้นที่ได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอของคนในครอบครัวนี้มาได้สักพักแล้วล่ะก็ เขารู้สึกว่าครอบครัวนี้ไม่ได้เลวร้ายหรือใจดำอย่างที่เขาคิด กลับกันเขาใจดีมากจนเขารู้สึกเกรงใจขึ้นมาในบางครั้งเพราะพวกเขาดูแลและให้ข้าวให้น้ำเขากินจนเขาอิ่มหนำสำราญหลายมื้อ โดยเฉพาะคุณนายแฮนนาที่มักจะส่งยิ้มหวาน ๆ และคำพูดให้กำลังใจมาให้เขาและลูก ๆ เสมอทำให้พวกเขาใจฟูอยู่ทุก ๆ วัน สำหรับในความคิดของเขา คุณนายแฮนนาเป็นแม่ที่ดีมากจริง ๆ ว่าแล้วก็คิดถึงชะมัด ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ..
คุณนางฟ้าคนสวยที่อยู่บนสวรรค์สบายดีหรือเปล่า?
โฮ่ง!
เสียงเห่าอันแสนคุ้นเคยของเจ้าตูบสีขาว "แม็กส์" เจ้าเก่าเจ้าเดิมที่วันนี้ก็มาพร้อมกับของเล่นโปรดที่คาบมาให้เขาเหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่เขามานั่งเล่นริมสระน้ำใจกลางคฤหาสน์ เจ้าตูบตัวน้อยคาบลูกบอลมาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะใช้จมูกเขี่ยลูกบอลให้กลิ้งมาหาเขา โอดินอมยิ้มให้กับความน่ารักของเจ้าหมาน้อยก่อนจะก้มหยิบลูกบอลตรงหน้าขึ้นมา
"เอาล่ะ ไปคาบมานะ..ไป!" สิ้นเสียง เขาก็จัดการขว้างลูกบอลออกไปสุดสายตา เจ้าหมาน้อยมองตามลูกบอลยางสีแดงก่อนจะติดจรวดวิ่งตามไปทันที โอดินอมยิ้มเตรียมหันหลังหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านแต่ทว่าก็ต้องตกใจจนเกือบหงายหลังล้มลงเมื่อเจ้าของร่างของหญิงสาวที่เขาชื่นชอบจ๊ะเอ๋เขาทันทีที่เขาหันหลังกลับไป แต่ก็ยังดีที่แอนนาเบลไหวตัวทันดึงแขนเอาไว้ไม่งั้นนะเขาได้ลงไปเป็นอาหารเป็ดแน่
" คิกๆๆๆ "
ยังมีหน้ามาหัวเราะอีกนะแม่คุณ-0-
" ขำๆ " เขาส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมเด็ก ๆ ของอีกคนก่อนที่คนตรงหน้าจะยกมือพนมขอโทษขอโพย
" ขอโทษๆ ไม่โกรธเรานะคะพี่โอดิน" ว่าจบก็ยิ้มหวานไปหนึ่งกรุบ เฮ้อ แล้วอย่างนี้ใครจะโกรธลงล่ะ
" เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอยิ้มล่ะนะ" ร่างสูงเอ่ยบอกก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นไปให้แอนนาเบลพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ถ้าเขาตาไม่ฝาดล่ะก็ เมื่อกี้เธอหน้าแดงรึเปล่านะ? ไม่หรอก สงสัยจะคิดมากไป
" นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก..พี่กินข้าวเที่ยงรึยัง?"
" ก็..ยังนะ" สิ้นคำพูด ร่างบางก็ยิ้มแฉ่งทันทีก่อนที่มือขาวจะคว้าหมับเข้าที่มือของเขาก่อนที่จะลากไปที่สนามหญ้า แอนนาเบลจัดแจงสะบัดผ้าคลุมปูลงที่พื้นหญ้าก่อนจะจัดแจงอาหารทุก ๆ อย่างที่เตรียมมาอย่างดีวางใส่จานไว้
" ฉันทำแซนวิชมาให้พี่น่ะ..เห็นว่าพึ่งสอนพี่อเล็กเสร็จแล้วอาจจะยังไม่ได้ทานอะไร " ร่างบางยื่นจานที่วางด้วยแซนวิชมาให้ ร่างสูงรับเอาไว้ก่อนจะคลี่ยิ้มและผงกหัวขอบคุณร่างบาง แซนวิชถูกจัดเสิร์ฟมาอย่างดีพร้อมกับชากุหลาบหอม ๆ สไตล์ยุโรปที่แอนนาเบลรินไว้ชวนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะของเขาร้องโครกครากเสียงดังลั่น แอนนาเบลอมยิ้มขำเมื่อเห็นปฏิกิริยาแสนน่ารักน่าชังของโอดิน ดวงตากลมวาวเบิกตากว้างขึ้นพร้อมกับปากเรียวที่อ้ากว้างงับแซนวิชเข้าเต็มปากเต็มคำก่อนจะร้องเสียงหลงออกมา
"ฮื่ออออ!!"
"อร่อยมั้ย?" เอ่ยถามพรางทำสีหน้าลุ้น
"อร่อยเกินจนเผลอกัดปากตัวเอง"
"ก็ค่อยๆกินสิคะ เราไม่แย่งพี่หรอกน่า" เอ่ยจบก็คลี่ยิ้มเอ็นดูให้กับคนเป็นพี่ บรรยากาศร่มรื่นของอากาศโดยรอบด้านทั้งลมที่โกรกใบไม้โชยไปมาพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ยามสี่โมงเย็นทำให้อากาศร่มรื่นน่าพักผ่อน เสียงหัวเราะขบขันและรอยยิ้มของคนทั้งสองนั้นเปรียบเสมือนแสงสว่างของกันและกันแต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังถูกจับตามองโดยใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้น จากคนรู้จักก็พัฒนาสู่การเป็นเพื่อน จากการเป็นเพื่อนก็พัฒนาไปสู่การเป็นแฟนในที่สุด ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้เลื่อนสถานะเป็นคนรักกันหลังจากใช้เวลาดูใจกันมานานกว่าสี่ปีเต็มที่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ และได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันและกันมากขึ้นพร้อมกับการได้เฝ้ามองอีกคนเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้วสำหรับโอดิน
แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มที่เขาแสนจะหวงแหนดูเหมือนว่ามันจะหายไปอีกครั้งเมื่อคุณนายแฮนนาป่วยหนักและเริ่มนอนติดเตียง มือขาวนวลใสดั่งไข่มุกชั้นดีบัดนี้กลับเหี่ยวย่นและแห้งเหี่ยวกว่าเดิม คุณหมอมาถึงที่พักส่วนตัวของคุณนายก่อนจะจับไปที่จุดตรวจชีพจรบริเวณข้อมือ ทุกคนต่างพากันลุ้นโชคชะตาของคุณนายอยู่ข้างเตียงนอนขนาดคิงไซค์ก่อนจะต้องหน้าซีดและก้มหน้านิ่งเมื่อคุณหมอส่ายหน้า
ผมก้มหน้านิ่งในขณะที่สายตาก็พยายามสอดส่องมองร่างบางข้างกายที่ตอนนี้นิ่งไปแล้ว แอนนาเบลไม่มีแม้แต่น้ำตาแม้ซักหยดให้เห็นว่าไหลอาบแก้มมีแต่เพียงแววตาว่างเปล่าที่เลื่อนลอยไปเรื่อย
จะเป็นอะไรรึเปล่านะ?
แอนนาเบลเดินออกจากห้องไปทันที ผมมองตามหลังคนร่างบางไป ถึงแม้ในใจจะร้องตะโกนว่าให้ตามอีกฝ่ายไปมากแค่ไหนก็ตามแต่ก็ทำไม่ได้ อย่าลืมสิว่าความสัมพันธ์ของเรามันยังเปิดเผยไม่ได้เพราะฉะนั้นการที่จะทำอะไรก็ต้องต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะส่งผลให้เขาและอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้แอนนาเบล เพราะจากที่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ ตัวเขานั้นสามารถจับต้นชนปลายได้ทันทีว่าคนในบ้านนี้นั้นผู้ที่รักแอนนาเบลจากใจจริงมีเพียงคนเดียวนั่นก็คือคุณนายแฮนนาเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าคนในบ้านนี้จะถือคติผู้ชายเป็นใหญ่ แอนนาเบลจึงมักจะถูกท่านอังเดรพูดแดกดันอยู่เกือบตลอดเวลา ซึ่งเอาความจริงค่านิยมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มันก็ไม่ถูกเสมอไปหรอก จริงอยู่ที่ผู้ชายจะมีพละกำลังและร่างกายที่กำยำมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้ชายก็ไม่ใช่เพศที่ใหญ่กว่าที่จะต้องข่มเหงรังแกผู้หญิงแบบไหนก็ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ในยุคสมัยนี้ที่หลายสิ่งหลายอย่างอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชาย กลับกันผู้หญิงจะต้องคอยเรียกร้องและดิ้นรนมาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ช่างน่าสงสาร
แต่สำหรับพี่น้องคนโตกับคนรอง สำหรับเขาแล้วที่ได้พบเจอและรู้จักมาสักพักรู้สึกว่าก็ไม่ได้รับมือแย่อะไร คนโตสนใจดนตรีมากและหัวเร็วสุด ๆ เขาสอนอะไร บอกเทคนิกด้านไหน ให้ใช้นิ้วอะไรก็ทำได้หมด เพียงแต่นิสัยของเขาจะติดเย็นชาและไม่ค่อยสนใจใคร ส่วนเบนจามินคนรองนั้น ถึงแม้จะดูต่อต้านกับอังเดรและไม่อยากเล่นดนตรีสักแค่ไหน แต่ก็ยอมอ่อนข้อให้อังเดรเสมอ และเอาเข้าจริงตัวของเบนจามินเองก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลยในเรื่องของการเล่นเปียโน เก่งพอ ๆ กับอเล็กซานเดร บ้านนี้เขาไม่ธรรมดากันเลยจริง ๆ
บรรยากาศวันนี้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอึมครึมและน่าเศร้าใจสำหรับตระกูลเฮนเนอควินท์จากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณนายแฮนนา งานศพถูกจัดการอย่างเงียบ ๆ บริเวณสวนด้านหลังของบ้าน ทุกคนพากันยืนไว้อาลัยให้กับคุณนายแฮนนาที่จากไปอย่างสงบด้วยโรคร้ายที่รักษาไม่หาย อากาศยามค่ำคืนในเวลาหนึ่งทุ่มตรงไม่ได้ทำให้แต่ละคนรู้สึกหนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย ผมมองซ้ายมองขวาอยู่ซักพักเพื่อมองหาร่างบางที่ควรจะอยู่ข้างกายของผมในตอนนี้แต่ทว่ากลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า
ไม่ได้การละ ผมจะต้องตามหาเธอให้เจอ
ผมรีบหาจังหวะปลีกตัวออกมาจากพิธีการทันทีก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปตามห้องต่าง ๆ ที่คิดว่าอาจจะเจอเธอแต่กลับไร้ประโยชน์เพราะทุก ๆ ที่ที่เธออยู่บ่อย ๆ กลับไม่มีแม้แต่เงา มีแต่ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่
เธออยู่ที่ไหนกันนะแอนนาเบล
ทว่าความเงียบนั้นกลับถูกทำลายด้วยเสียงเปียโนที่ดังอยู่ไกล ๆ ผมเงี่ยหูฟังซักพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเสียงนั้นไปทันทีจนมาอยู่ที่ห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ชั้นใต้ดิน เสียงของตัวโน้ตที่ถูกกดผ่านคีย์เปียโนมันช่างหวานเสนาะหูยิ่งนัก ประตูไม่ได้ถูกปิดไว้แต่อย่างใด ผมจึงตัดสินใจผลักเข้าไปเบา ๆ และเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบมากที่สุด
แอนนาเบล..
(Gymnopedie no.1)
ผมยืนฟังอยู่แบบนั้นจนจบเพลงและปรบมือให้กับการแสดงยามค่ำคืนของเธอด้วยความทึ่งและภาคภูมิใจ เธอยิ้มรับก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะเปิดปากพูดขึ้น
"มาตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ก็…ตั้งแต่แรกที่เล่นน่ะ" ผมตอบกลับไปก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ เธอ ถึงแม้ริมฝีปากเธอจะยิ้มแต่แววตาของเธอมันก็เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจนผมอยากจะดึงเธอมากอดแน่น ๆ
ใบหน้าของเธอมันไม่เหมาะกับน้ำตาจริงๆนะ ไม่คู่ควรเลยซักนิด
"มันเป็นเพลงที่แม่ฉันเล่นให้ฟังตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเป็นเด็กที่ขี้แงและร้องไห้บ่อยมาก และแม่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยอุ้มฉันมานั่งบนตักพร้อมกับเล่นเพลงให้ฟัง เสียงหวานของเปียโนหลังนี้มักจะกล่อมให้ฉันหยุดร้องไห้เสมอรวมถึงในครั้งนี้ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเธออยู่ข้างกายฉันแล้ว แต่เปียโนหลังนี้ก็เปรียบเสมือนกับของแทนใจที่ทำให้นึกถึงเธอได้อยู่เสมอ"
สิ้นประโยคนั้นเธอก็ยิ้มให้ผม
"อยากลองฟังอีกเพลงหนึ่งมั้ย?" เธอถามผม
"อ..อื้ม" ผมพยักหน้าตอบกลับไปก่อนที่เธอจะนั่งลงที่เก้าอี้เปียโนอีกครั้งก่อนจะเริ่มบรรเลงนิ้วเรียวลงไปในคีย์เปียโน
( Gymnopedie no. 2 )
คอร์ดสุดท้ายจบลงพร้อมกับการยกมืออันสวยงามขึ้นจากคีย์เปียโน ผมปรบมือให้เธออีกครั้ง เธอลุกขึ้นยืนถอนสายบัวให้กับผมก่อนที่พวกเราจะปล่อยเสียงหัวเราะกันออกมาเบา ๆ เธอคลี่ยิ้มออกมาก่อนที่ขาเรียวภายใต้กระโปรงสีขาวจะเดินเข้ามาใกล้ แขนเรียวโอบกอดผมพร้อมกับเสียงหวานที่กระซิบข้างหู
"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ"
การมีเธออยู่ข้างกายแบบนี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับผม
ความรักของเราราบรื่นไปได้ด้วยดี แอนนาเบลกลับมาร่าเริงได้อีกครั้งและวันนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เรานัดเจอกันที่ห้องเปียโนเก่าของคุณแม่ โอดินบอกว่าเขานั้นมีของขวัญจะให้แอนนาเบลเนื่องในโอกาสวันครบรอบแปดเดือนที่ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์
โอดินส่งยิ้มให้แอนนาเบลก่อนที่มือขาวจะหยิบสมุดโน้ตดนตรีคู่ใจมาตั้งไว้
"มันเป็นเพลงของคีตกวีนามว่าชูเบิร์ทที่เขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อมอบให้กับหญิงสาวที่เขารักแต่ไม่สมหวัง"
"...."
"พี่เห็นว่าเพลงนี้มันค่อนข้างน่าสนใจและที่สำคัญคือมันเป็นเปียโนโฟร์แฮนด์ก็เลยอยากลองให้เธอเล่นดู"
"อืมม..มันก็ค่อนข้างยากอยู่นะแต่จะลองดูแล้วกันค่ะ"
( Fantasia in F minor )
" ทำไมเพลงนี้มันเศร้าจังล่ะคะ"
"เพราะความไม่สมหวังทำให้หัวใจแตกสลาย มันจึงต้องใช้คีย์ไมเนอร์เป็นสื่อกลางที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงไปให้แก่ผู้ฟัง"
"แล้วทำไมพี่ถึงเลือกเพลงนี้ล่ะคะ?"
"อืม..ไม่รู้สินะ พี่แค่กลัวน่ะ กลัวว่าซักวันหนึ่งจะเสียเราไปและพี่คงจะไม่เป็นตัวเองมากแน่ ๆ หัวใจของพี่ตอนนี้มันอยู่ที่เธอแล้วนะแอนนาเบล"
สิ้นคำพูดของโอดิน ร่างบางจากที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโนก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเดินเข้าไปสวมกอดคนตรงหน้าก่อนจะผละออกมา สองมือเรียวแนบเข้าไปที่แก้มทั้งสองข้างของโอดินก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะจุมพิตลงบนกลีบปากเรียวของอีกฝ่าย ร่างสูงหลับตาพริ้มปล่อยให้สัญชาตญาณเป็นตัวกำหนดก่อนจะผละออกมาและสวมกอดร่างบางแนบแน่น
แต่ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เพราะการกระทำของคนทั้งสองถูกจับตามองด้วยชายวัยกลางคนอย่างอังเดรและชายหนุ่มหน้าละอ่อนเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งอย่างอเล็กซานเดร อังเดรเดินพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าที่โกรธจัดและตบเข้าไปที่หน้าของแอนนาเบลอย่างแรงพร้อมด่าทอสารพัด
( Sonata Tempest ) (คลอ)
"รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เป็นสาวเป็นแส้ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ทำตัวน่าสมเพชเหมือนแม่แกไม่มีผิด!"
"อย่ามาว่าแม่นะ!"
"แม่เป็นยังไง ลูกมันก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ!"
"ก็บอกว่าหุบปากไง!!"
“นี่แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเรอะนังลูกชั่ว!!!” อังเดรตะโกนสุดเสียงพร้อมกับกำลังจะยกมือขึ้นฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของแอนนาเบลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเบนจามินที่เดินพรวดพราดเข้ามาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของอังเดรและบีบอย่างแรง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อยู่ดีไม่ว่าดีไปตบน้องมันแบบนี้ได้ยังไงกันพ่อ!”
“แกไม่ต้องมายุ่งเลยนะเบนจามิน กลับไปซ้อม Tempest ซะ”
“พ่อนั่นแหละที่ทำเกินไป ถึงแม้ค่านิยมในยุคนี้จะเอื้อกับผู้ชายอย่างเรามากแค่ไหน แต่พ่อก็ไม่มีสิทธิ์ไปตบไปตีน้องมันแบบนี้ แอนนาเบลมันเป็นผู้หญิงนะพ่อแล้วน้องมันก็ลูกแท้ๆในสายเลือดพ่อด้วย ไม่รักมันรึไง"
" เบนจามิน นี่แกกำลังดูหมิ่นพ่ออยู่นะ!"
"เรื่องของพ่อสิครับ ทีพ่อยังไม่เคยจะเห็นหัวพวกผมเลยซักนิด เคยถามมั้ยว่าผมชอบดนตรีรึเปล่า เคยถามป่ะว่าเหนื่อยมั้ยกับการที่ต้องมาทำอะไรที่ไม่อยากทำ"
"..."
"พ่อน่ะสนใจแต่เรื่องตัวเอง สนใจแต่ศักดิ์ศรีของตัวเองโดยไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้างเลยซักนิดว่าเขาจะเสียใจหรือรู้สึกยังไง พ่อน่ะโครตเห็นแก่ตัวเลย"
"ไอ้เบนจามิน!!!"
เพียะ!
มือหนาฟาดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงจนเบนจามินหน้าหัน ดวงตากลมเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะตั้งแต่เด็กจนโตถึงแม้ว่าเขาจะทะเลาะกับพ่อหนักแค่ไหนก็ไม่มีครั้งไหนที่พ่อตบหน้าเขาเหมือนกันครั้งนี้ เบนจามินตวัดสายตามองมาที่อังเดรด้วยความผิดหวังก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปทันที
ร่างสูงกระฟัดกระเฟียดเดินเข้ามานั่งในห้องเปียโนด้วยความโกรธก่อนจะบรรเลงเพลง Tempest เพื่อระบายอารมณ์
( Tempest )
หลังจากวันนั้นบรรยากาศภายในบ้านก็อึมครึมมากกว่าเดิม ตัวเบนจามินเองก็ไม่พูดไม่จาไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับอังเดรอีก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มองหน้าเลยด้วยซ้ำ ส่วนแอนนาเบลเองก็ซึมเศร้าหนักกว่าเดิมและโทษตัวเองอยู่ตลอดที่ทำให้พี่รองกับพ่อต้องทะเลาะกัน ด้านโอดินเองก็ไม่รู้จะทำยังไง ได้เพียงแค่กอดปลอบอีกฝ่ายและคอยอยู่ข้าง ๆ เธอในตอนที่เธอรู้สึกไม่ดีเท่านั้น
ถ้าหากการแยกกันคือสิ่งที่ดีที่สุดล่ะ
แต่ทว่าเมื่อใบหน้าหวานมุดเข้ามาซบที่อกแกร่งก็ทำให้หัวใจอ่อนยวบ ให้ตายยังไงเขาก็จะไม่มีวันทิ้งเธอเด็ดขาด
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น
อาหารเช้าถูกจัดเสิร์ฟเช่นเดิมตามปกติ บรรดาสมาชิกในบ้านที่เหลืออยู่ในตอนนี้ก็ลงมาทานข้าวกันพร้อมเพรียงกันเหมือนปกติทุก ๆ วัน ไม่มีแม้แต่คำพูดใดที่หลุดออกจากปาก ต่างคนต่างทานข้าวกันเงียบ ๆ จนเป็นฝ่ายอังเดรที่พูดขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร
"ฉันจะยอมให้พวกแกได้ทำตามในสิ่งที่แกชอบ ที่แกรักและจะไม่บีบบังคับพวกแกอีกต่อไป"
สิ้นประโยคนั้นทำเอาทุกคนที่กำลังก้มหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองอังเดรทันทีด้วยความแปลกใจ
"อเล็กซานเดร ถ้าลูกเบื่อดนตรีแล้วอยากลองไปเรียนในด้านอื่นก็บอกฉันเดี๋ยวฉันจัดการเอง..เบนจามินถ้าแกไม่ชอบดนตรี ฉันก็จะไม่ให้แกเรียน ตอนที่แม่แกยังอยู่ ฉันเคยได้ยินว่าแกสนใจในเรื่องการแพทย์ ฉันจะให้แกเรียนส่วนแอนนาเบล.."
ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามอง
"ถ้าลูกรักดนตรีจริง ๆ พิสูจน์ให้พ่อเห็นถึงความรักที่มีต่อดนตรีได้มั้ย?"
"...."
"งานวันสุดสัปดาห์นี้จะเป็นงานเทศกาลดนตรี ถ้าลูกเล่นเพลง Ballade no.3 ของโชแปงได้ด้วยความเข้าใจดนตรีจริง ๆ ต่อหน้าสาธารณชน พ่อจะให้ลูกเรียนดนตรีและจะเปิดทางให้ลูกกับโอดิน"
สิ้นคำพูด แอนนาเบลก็เบิกตากว้างพร้อมกับมองไปที่อังเดรอย่างอึ้ง ๆ เพราะไม่คิดว่าคนหัวแข็งอย่างเขาจะยอมอ่อนข้อให้กับเธอ
"ถ้าลูกทำได้ พ่อจะยอมรับในตัวลูกและปล่อยลูกไป..แล้วพ่อจะรอฟังนะ"
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไรกลับมา อังเดรจึงลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วเดินออกไปทันที
แอนนาเบลหันมามองโอดินก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม โอดินส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอังเดรคิดอะไรเช่นกัน
Ballade no. 3 อย่างงั้นเหรอ? เพลงใหญ่ขนาดนี้แอนนาเบลจะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ เอาหน่อยเว้ย
.
.
เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ในที่สุดงานเทศกาลดนตรีวันสุดสัปดาห์ก็มาถึง สวนสาธารณะเต็มไปด้วยผู้คนที่มาดูงานแสดงดนตรี เสียงกรี๊ดวี๊ดว๊ายโห่ร้องเต็มหน้าเวทีพร้อมกับนักดนตรีที่หมุนเวียนผลันเปลี่ยนขึ้นมาแสดงบนเวทีเรื่อย ๆ และหนึ่งในนั้นที่กำลังรอทำการแสดงก็คือ..แอนนาเบล
ร่างบางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าเวที บรรดาแขกที่มารับชมงานมองแอนนาเบลนิ่ง ๆ แต่ก็ไม่ได้โห่ร้องอะไร พวกเขาเลือกที่จะเงียบและรอชมการแสดงของแอนนาเบล
แอนนาเบลสูดหายใจเข้าลึก ๆ และหลับตาลงก่อนที่จะยกมือขึ้นบรรเลงเพลง
( Ballade no.3 )
การแสดงจบลงด้วยเสียงผู้คนที่กรี๊ดกร๊าดและปรบมือให้กับการแสดงที่แสนสุดยอดของเธอแต่ก็ไม่รู้ว่าจะสุดยอดสำหรับคนอื่นรึเปล่า แอนนาเบลยิ้มภาคภูมิใจให้กับตนเองและดูเหมือนว่าสายตาของเธอจะดีเกินไปเมื่อเธอเหลือบไปเห็นอังเดรที่ยืนปรบมืออยู่พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เธอทำสำเร็จสินะ..
ใช่มั้ยคะแม่?
.
.
วันเวลาได้หมุนเวียน หลังจากนั้นอังเดรก็เริ่มปรับปรุงตัวเองมากขึ้นจาก ชายวัยกลางคนจอมหัวแข็งไม่ฟังใครสู่ชายชราที่ใจดี ใจเย็นและเป็นที่รักของครอบครัว อเล็กซานเดรสอบเข้าเป็นอาจารย์สอนดนตรีและตระเวนเล่นคอนเสิร์ตเปียโนไปทั่วทิศทั่วแดน ส่วนเบนจามินจอมกะล่อนแต่หวงน้องสาวยิ่งกว่าสิ่งใดก็สอบติดหมอและเข้าไปทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล และฉันแอนนาเบลสาวน้อยวัยใสผู้มีอายุ 23 ขวบในปัจจุบันได้แต่งงานกับโอดินและมีครอบครัวที่น่ารัก ๆ "เดียอาน่า" สาวน้อยวัยเตาะแตะอายุสองขวบผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของฉันและโอดิน
เอาล่ะ ชีวิตของฉันก็มีเพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ สำหรับวันนี้ซียูอาร์เกนเยสเทอร์เดย์ อย่าลืมเป็นร้อนในกันนะ เจอปืนเน้อ🎉